The Rise of Sumer/กำเนิดซูเมอร์

The Rise of Sumer
An Advanced Society
In southern Mesopotamia, a people known as the Sumerians developed the worlds first civilization. No one knows where they came from or when they moved into the region. However, by 3000 BC, several hundred thousand Sumerians had settled in Mesopotamia, in a land they called Sumer. There they created an advanced society.

The City-States of Sumer
          Most people in Sumer were farmers. They lived mainly in rural, or countryside, areas. The centers of Sumerian society, however, were the urban, or city, areas. The fi rst cities in Sumer had about 10,000 residents. Over time, the cities grew. Historians think that by 2000 BC, some of Sumers cities had more than 100,000 residents. As a result, the basic political unit of Sumer combined the two parts. This unit was called a city-state. A city-state consisted of a city and all the countryside around it. The amount of countryside controlled by each city-state depended on its military strength. Stronger city-states controlled larger areas.

          City-states in Sumer fought each other to gain more farmland. As a result of these conflicts, the city-states built up strong armies. Sumerians also built strong, thick walls around their cities for protection.
          Individual city-states gained and lost power over time. By 3500 BC, a city-state known as Kish had become quite powerful. Over the next 1,000 years, the city-states of Uruk and Ur fought for dominance. One of Uruks kings, known as Gilgamesh, became a legendary figure in Sumerian literature.

Rise of the Akkadian Empire
         In time, another society developed along the Tigris and Euphrates. It was created by the Akkadians. They lived just north of Sumer, but they were not Sumerians. They even spoke a different language than the Sumerians. In spite of their differences, however, the Akkadians and the Sumerians lived in peace for many years.
          That peace was broken in the 2300s BC when Sargon sought to extend Akkadian territory. He built a new capital, Akkad, on the Euphrates River, near what is now the city of Baghdad. Sargon was the first ruler to have a permanent army. He used that army to launch a series of wars against neighboring kingdoms.
          Sargons soldiers defeated all the city-states of Sumer. They also conquered northern Mesopotamia, finally bringing the entire region under his rule. With these conquests, Sargon established the worlds first empire, or land with different territories and peoples under a single rule. The Akkadian Empire stretched from the Persian Gulf to the Mediterranean Sea.
          Sargon was emperor, or ruler of his empire, for more than 50 years. However, the empire lasted only a century after his death. Later rulers could not keep the empire safe from invaders. Hostile tribes from the east raided and captured Akkad. A century of chaos followed. Eventually, however, the Sumerian city-state of Ur rebuilt its strength and conquered the rest of Mesopotamia. Political stability was restored. The Sumerians once again became the most powerful civilization in the region.


กำเนิดซูเมอร์
สังคมที่เจริญรุดหน้า
ทางเมโสโปเตเมียตอนใต้ มีผู้คนที่เรียกว่า ซูเมอร์ ได้พัฒนาอารยธรรมเป็นแห่งแรกของโลก แล้วย้อนกลับ ไม่มีใครรู้ว่า ชาวซูเมอร์มาจากไหนและอพยพเข้าสู่ภูมิภาคนี้เมื่อไร  อย่างไรก็ตาม เมื่อประมาณ 3000 ปีก่อนคริสตกาล ชาวซูเมอร์หลายแสนคน ได้ตั้งรกรากอยู่ในเมโสโปเตเมีย ในแผ่นดินที่พวกเขาเรียกว่า ซูเมอร์ (Sumer)  ชาวซูเมอร์ได้สร้างสังคมที่เจริญก้าวหน้า ณ บริเวณนี้


นครรัฐแห่งแคว้นซูเมอร์
คนส่วนใหญ่ในแคว้นซูเมอร์เป็นเกษตรกร พวกเขาอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เป็นชนบท   อย่างไรก็ตาม ศูนย์กลางสังคมของชาวซูเมอร์ ก็เป็นพื้นที่ที่เป็นเมือง เมืองแรกในแคว้นซูเมอร์มีผู้คนอาศัยอยู่ประมาณ 10,000 คน เมื่อเวลาผ่านไป เมืองก็เจริญเติบโตขึ้น นักประวัติศาสตร์คิดว่า เมื่อประมาณ 2000 ปี ก่อนคริสตกาล เมืองของแคว้นซูเมอร์บางเมือง มีผู้คนอาศัยมากกว่า 100,000 คน เป็นผลให้หน่วยการเมืองขั้นพื้นฐาน รวมกันเป็นสองส่วน เรียกว่า นครรัฐ (city-state)  ประกอบไปด้วยเมืองและชนบททั้งหมดที่อยู่รอบ ๆ เมือง ชนบทจำนวนมากถูกปกครองโดยนครรัฐแต่ละนครรัฐ ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของทหาร นครรัฐที่เข้มแข็งกว่าจะปกครองเนื้อที่ขนาดใหญ่


นครรัฐในแคว้นซูเมอร์ต่อสู้กับนครรัฐอื่น ๆ เพื่อแย่งที่ทำมาหากิน เนื่องจากความขัดแย้งเหล่านี้ นครรัฐจึงได้สร้างกองทัพให้เข้มแข็ง ชาวซูเมอร์ ยังได้สร้างกำแพงหนาแข็งแรงรอบ ๆ เมืองเพื่อป้องกันเมือง
นครรัฐที่เป็นเอกเทศมีอำนาจและสูญอำนาจอยู่ตลอดเวลา  เมื่อประมาณ 3500 ปี ก่อนคริสตกาล นครรัฐคิช (Kish) เรืองอำนาจโดยสิ้นเชิง ผ่านไปอีกหนึ่งพันปี นครรัฐ ชื่อ อูรุก (Uruk) และอูร์ (Ur) ได้ต่อสู้กันเพื่อแย่งกันปกครอง กษัตริย์ของเมืองอูรุกองค์หนึ่ง ชื่อ กิลกาเมช (Gilgamesh) กลายเป็นตำนานบุคคลสำคัญในตำนานของวรรณคดีซูเมอร์

กำเนิดจักรวรรดิอัคคาเดียน (Akkadian Empire)
           ในไม่ช้า สังคมอีกสังคมหนึ่งก็พัฒนาขึ้นตามแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส ซึ่งชาวอัคคาเดียนสร้างขึ้น ชาวอัคคาเดียแค่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของแคว้นซูเมอร์ ไม่ใช่ชาวซูเมอร์ และยังพูดภาษาแตกต่างจากชาวซูเมอร์ อย่างไรก็ตาม ทั้ง ๆ มีความแตกต่างกัน ชาวอัคคาเดียนและชาวซูเมอร์ ก็อยู่ด้วยกันอย่างสันติสุขเป็นเวลาหลายปี

ความสงบสุขนั้นได้ถูกทำลาย ในศตวรรษที่ 2300 ปี ก่อนคริสตกาล เมื่อกษัตริย์ซาร์กอน (Sargon) พยายามที่จะขยายดินแดนอัคคาเดีย พระองค์ทรงสร้างเมืองหลวงใหม่ ชื่อ อักกาด (Akkad) บนฝั่งแม่น้ำยูเฟรติส ใกล้บริเวณที่เป็นกรุงแบกแดดในปัจจุบัน กษัตริย์ซาร์กอนเป็นคนแรกที่มีกองทัพเข้มแข็ง พระองค์ทรงใช้กองทัพทำสงครามกับอาณาจักรใกล้เคียงเป็นชุด ๆ
ทหารของกษัตริย์ซาร์กอนได้โจมตีนครรัฐแห่งแคว้นซูเมอร์ทุกหนทุกแห่ง ทหารเหล่านั้นยังพิชิตเมโสโปเตเมียตอนเหนือได้อีก ในที่สุด ภูมิภาคนั้นทั้งหมดก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ซาร์กอน ด้วยการพิชิตเหล่านี้ กษัตริย์ซาร์กอนจึงได้สถาปนาจักรวรรดิเป็นแห่งแรกของโลก หรือเป็นดินแดนที่มีอาณาเขตและผู้คนที่แตกต่างกันอยู่ภายใต้การปกครองแต่ผู้เดียว  จักรวรรดิอัคคาเดียน ยาวเหยียดตั้งแต่อ่าวเปอร์เซียไปจนถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
กษัตริย์ซาร์กอนเป็นจักรพรรดิ หรือผู้ปกครองจักรวรรดิของพระองค์ เป็นเวลามากกว่า 50 ปี  อย่างไรก็ตาม จักรวรรดิก็ยืนหยัดอยู่ได้เพียงหนึ่งศตวรรดิหลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์ ต่อมาผู้ปกครองหลายคนก็ไม่สามารถจะรักษาจักรวรรดิให้ปลอดภัยจากผู้รุกรานได้  ชนเผ่าผู้เป็นปรปักษ์จากด้านตะวันออก ก็บุกเข้ายึดเมืองอักกาด จึงเกิดศตวรรษแห่งความโกลาหลตามมา
อย่างไรก็ตาม ในที่สุด นครรัฐอูร์แห่งแคว้นซูเมอร์ จึงสร้างความแข็งแกร่งขึ้นมาอีกครั้งและพิชิตเมโสโปเตเมียอีกส่วนหนึ่ง ความมั่นคงทางการเมืองก็ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ ชาวซูเมอร์จึงกลายเป็นอารยธรรมที่มีอำนาจมากที่สุดในภูมิภาคอีกครั้งหนึ่ง

ซูเมอร์

Religion Shapes Society
          Religion was very important in Sumerian society. In fact, it played a role in nearly every aspect of public and private life. In many ways, religion was the basis for all of Sumerian society.

Sumerian Religion
           The Sumerians practiced polytheism, the worship of many gods. Among the gods they worshipped were Enlil, the lord of the air; Enki, god of wisdom; and Inanna, goddess of love and war. The sun and moon were represented by the gods Utu and Nanna. Each city-state considered one god to be its special protector.
          The Sumerians believed that their gods had enormous powers. Gods could bring a good harvest or a disastrous flood. They could bring illness, or they could bring good health and wealth. The Sumerians believed that success in every area of life depended on pleasing the gods. Every Sumerian had a duty to serve and to worship the gods.

Priests, people who performed religious ceremonies, had great status in Sumer. People relied on them to help gain the godsfavor. Priests interpreted the wishes of the gods and made offerings to them. These offerings were made in temples, special buildings where priests performed their religious ceremonies.

Sumerian Social Order
           Because of their status, priests occupied a high level in Sumers social hierarchy, the division of society by rank or class. In fact, priests were just below kings. The kings of Sumer claimed that they had been chosen by the gods to rule.
          Below the priests were Sumers skilled craftspeople, merchants, and traders. Trade had a great impact on Sumerian society. Traders traveled to faraway places and exchanged grain for gold, silver, copper, lumber, and precious stones.
            Below traders, farmers and laborers made up the large working class. Slaves were at the bottom of the social order.

ศาสนาก่อรูปร่างเป็นสังคม
ศาสนาเป็นสิ่งที่สำคัญมากในสังคมซูเมอร์  ในความเป็นจริง ศาสนามีบทบาทเกือบทุกด้านของชีวิตทั่วไปและส่วนตัว  หลายแนวทาง ที่ศาสนาเป็นพื้นฐานทุกสิ่งทุกอย่างของสังคมซูเมอร์


ศาสนาของชาวซูเมอร์
          ชาวซูเมอร์นับถือเทพเจ้าหลายองค์ บูชาพระเจ้าหลายองค์ บรรดาเทพเจ้าเหล่านั้น ที่พวกเขานับถือมากที่สุด คือ เทพเจ้าเอนลิล (Enlil) ซึ่งเป็นเจ้าแห่งอากาศ เทพเจ้าเอนกิ (Enki) ซึ่งเป็นเจ้าแห่งปัญญา และเทพีอินันนา (Inanna) ซึ่งเป็นเทพีแห่งความรักและสงคราม นครรัฐแต่ละนครรัฐถือว่าเทพเจ้าเป็นผู้ปกปักษ์รักษาเป็นพิเศษ

ชาวซูเมอร์เชื่อว่า เทพเจ้าของพวกเขามีอำนาจชั่วร้าย เทพเจ้าอาจจะดลบันดาลผลผลิตที่ดีหรือน้ำท่วมย่อยยับให้ก็ได้  อาจจะดลบันดาลความเจ็บได้ป่วยหรือสุขภาพดีและความมั่งให้ก็ได้  ชาวซูเมอร์เชื่อว่า ความประสบผลสำเร็จในทุก ๆ ที่ของชีวิตขึ้นอยู่กับความพอใจของเทพเจ้า ชาวซูเมอร์ทุกคนจึงมีหน้าที่ในการบริการและสักการะเทพเจ้าทั้งหลาย

นักบวช คือผู้ที่ปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนา จะมีสถานะที่ยิ่งใหญ่ในแคว้นซูเมอร์ ประชาชนจะพึ่งพาอาศัยนักบวชเพื่อให้ช่วยอ้อนวอนให้เทพเจ้าพอใจ นักบวชจะแปลความปรารถนาของเทพเจ้าและทำพิธีบูชายัญแก่เทพเจ้าเหล่านั้น ของบูชายัญเหล่านี้จะทำขึ้นในวิหาร ซึ่งเป็นอาคารพิเศษสำหรับนักบวชทำพิธีกรรมทางศาสนา

การจัดระเบียบทางสังคมของชาวซูเมอร์
เนื่องจากสถานภาพของนักบวชเหล่านั้น จึงมีตำแหน่งในการจัดลำดับชั้นทางสังคมของแคว้นซูเมอร์  การแบ่งชนชั้นทางสังคม นักบวชอยู่ระดับล่างเพียงแค่กษัตริย์ กษัตริย์ของซูเมอร์อ้างว่าตนเองได้รับเลือกจากเทพเจ้าให้มาปกครอง
ชนชั้นที่อยู่ระดับล่างของนักบวชคือช่างฝีมือ พ่อค้า และผู้ประกอบการค้าขาย ผู้มีทักษะของซูเมอร์ การค้าขายมีผลกระทบอย่างยิ่งใหญ่กับสังคมซูเมอร์ ผู้ประกอบการค้าขายจะเดินทางไปยังสถานที่ไกลออกไปและแลกเปลี่ยนข้าวกับทอง เงิน ทองแดง ไม้แปรรูป และหินมีค่า

ชนชั้นระดับล่างพ่อค้า คือ ชาวนาและกรรมกร เป็นชนชั้นผู้ใช้แรงงานจำนวนมาก ทาสอยู่ระดับล่างของระเบียบทางสังคม

นครรัฐอูร์

Men and Women in Sumer
         Sumerian men and women had different roles. In general, men held political power and made laws, while women took care of the home and children. Education was usually reserved for men, but some upperclass women were educated as well. Some educated women were priestesses in Sumers temples. Some priestesses helped shape Sumerian culture. One, Enheduanna, the daughter of Sargon, wrote hymns to the goddess Inanna. She is the first known female writer in history.

ผู้ชายและผูหญิงในแคว้นซูเมอร์
ผู้ชายและผู้หญิงชาวซูเมอร์มีบทบาทแตกต่างกัน โดยทั่วไป ผู้ชายจะถืออำนาจทางการเมืองและออกกฎหมาย ในขณะที่ผู้หญิงจะดูแลบ้านและลูก ๆ โดยปกติแล้วการศึกษาจะสงวนไว้เฉพาะผู้ชาย แต่ผู้หญิงในชนชั้นสูงบางคนก็ได้รับการศึกษาเป็นอย่างดี ผู้หญิงที่มีการศึกษาบางคนเป็นนักบวชหญิงในวิหารของซูเมอร์ นักบวชหญิงบางคนจะช่วยสร้างวัฒนธรรมของซูเมอร์  ธิดาของซาร์กอนคนหนึ่ง ชื่อ เอนเฮดุอันนา (Enheduanna) ได้เขียนบทสวดสรรเสริญให้กับเทพธิดาอินานนา หล่อนคือนักเขียนสตรีคนแรกที่รู้จักกันในประวัติศาสตร์