HISTORY OF EUROPE
EUROPE HAS PLAYED a
much more important role in world history than its small
population or size would suggest. The
Greeks and Romans colonized large parts of North Africa
and western Asia, and from the 15th century onwards,
European nations established trading empires that
spanned the globe. The Industrial Revolution of the 18th
century gave Europe an economic strength which allowed
it to dominate world trade, and both World Wars began in
Europe. Since 1945, Europe's global
influence has declined, as wealth and military power has
shifted to North America and Asia.
|
ประวัติศาสตร์ทวีปยุโรป
ทวีปยุโรปมีประชากรน้อยและมีขนาดเล็กแต่มีบทบาทสำคัญมากกว่าทวีปอื่น
ๆ ใดในประวัติศาสตร์โลก กรีกและโรมันสร้างอาณานิคมกินบริเวณขนาดใหญ่ในแอฟริกาเหนือและเอเชียตะวันตก
และตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา หลายชาติในยุโรปได้สถาปนาจักรวรรดิทางการค้ากระจายไปทั่วโลก
การปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 18
ทำให้ยุโรปมีความเข้มแข็งทางด้านเศรษฐกิจซึ่งทำให้ยึดครองด้านการค้าขายของโลก และสงครามโลกทั้งสองครั้งก็เริ่มขึ้นในยุโรป
นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1945 (พ.ศ. 2488) อิทธิพลของยุโรปที่มีต่อโลกล่มสลายลง ในขณะที่อำนาจแห่งความมั่งคั่งและทางทหารก็เปลี่ยนไปยังอเมริกาเหนือและเอเชีย
|
Civilizations of
Europe
After 900 BC, four
civilizations made their successive mark on Europe. The first were the Greeks, who created
powerful city states. They were
followed a century later by the Etruscans in Italy. By 200 BC the Celts had settled across Europe. Finally the vast and powerful Roman Empire
spanned the continent, reaching its height in AD 117.
|
อารยธรรมยุโรป
หลังจาก
900 ปีก่อนคริสตกาล อารยธรรม 4 แห่ง ได้เกิดขึ้นบนแผ่นดินยุโรปอย่างต่อเนื่อง
อารยธรรมแรก คือ อารยธรรมกรีกที่ก่อกำเนิดนครรัฐอันเข้มแข็ง
ศตวรรษต่อมาก็เป็นชาวอีทรัสคันในอิตาลี ประมาณ 200 ปีก่อนคริสตกาล
ชาวเคลท์ก็ได้ตั้งหลักแหล่งจากฟากหนึ่งไปยังอีกฟากหนึ่งของยุโรป ในที่สุด
จักรวรรดิโรมันอันกว้างใหญ่ไพศาลและมีอิทธิพลก็ขยายไปทั่วทวีป จนถึงจุดสูงสุดใน
ค.ศ. 117 (พ.ศ. 660)
|
Prehistoric Europe
The first settlers in
Europe were primitive hunters who moved around in search
of food. By about 5000 BC, people
learned to farm and settled in villages. Bronze-working, and later iron-working, spread across the continent.
Prehistoric
"Venus" figurine from
Lespugue, France (Left image)
|
ยุโรปยุคก่อนประวัติศาสตร์
ผู้ตั้งหลักแหล่งพวกแรกในยุโรปคือนักล่าสัตว์หาอาหารสมัยแรกที่อพยพไปทั่วโลกเพื่อหาอาหาร
ประมาณ 5000 ปีก่อนคริสตกาล
ผู้คนได้เรียนรู้ในการทำเกษตรกรรมและตั้งหลักแหล่งเป็นหมู่บ้าน การทำสัมฤทธิ์และต่อเป็นการทำเหล็กก็ขยายข้ามทวีป
จุลประติมากรรมรูปวีนัสยุคก่อนประวัติศาสตร์จากแลสปูกู ฝรั่งเศส (ภาพซ้าย)
|
Christian Europe
In the 4th century,
Christianity became the official religion of the Roman
empire, and over the next 700 years the faith spread throughout Europe. With the break-up of the Roman empire by 476 and the
lack of any strong political force after then,
Christianity became the single unifying force across the continent and the church gained great power.
|
ยุโรปคริสเตียน
ในศตวรรษที่ 4
ศาสนาคริสต์ก็กลายเป็นศาสนาที่เป็นทางการของจักรวรรดิโรมัน
และความเชื่อก็เผยแพร่ไปทั่วยุโรปเป็นเวลามากกว่า 700 ปีต่อมา เมื่อจักรวรรดิโรมันล่มสลาย
ประมาณ ค.ศ. 476 (พ.ศ. 1019) และหลังจากนั้นก็ขาดอำนาจทางการเมืองที่เข้มแข็ง ศาสนาคริสต์จึงมีอิทธิพลเป็นเอกภาพหนึ่งเดียวไปทั่วทวีปและศาสนจักรก็มีอำนาจยิ่งใหญ่
|
|||
Papacy
As head of the Roman Catholic Church, the popes had enormous spiritual power. Vast landholdings
also gave the popes much political
power, which led to many conflicts between
the papacy and the leading rulers of
Europe.
Papal ring (Left image)
|
ตำแหน่งสันตะปาปา
พระสันตะปาปาเป็นประมุขของศาสนจักรโรมันคาทอลิกมีอำนาจทางจิตวิญญาณยิ่งใหญ่มหาศาล
พระสันตะปาปายังมีอำนาจทางการเมืองมากมายกินเนื้อที่กว้างใหญ่ไพศาลด้วย
ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งมากมายระหว่างตำแหน่งสันตะปาปากับผู้ปกครองที่เป็นผู้นำของยุโรปแหวนของพระสันตะปาปา (ภาพซ้าย)
|
Christian Europe
In the 4th century,
Christianity became the official religion of the Roman
empire, and over the next 700 years the faith spread throughout Europe. With the break-up of the Roman empire by 476 and the
lack of any strong political force after then,
Christianity became the single unifying force across the continent and the church gained great power.
East and west
Attempts by the pope
in Rome to establish his jurisdiction over the entire
Christian Church were resisted by the Orthodox Churches
of eastern Europe, centred around the ancient city of
Constantinople. In 1054, this schism (split) became final, leading to a religious
division in Christian Europe that survives to this day.
Growth of education
The Church dominated
education, at first through the monasteries and then the
universities. The first university in
Europe, specializing in medicine, was established at Salerno
in southern Italy in the 9th century; others, such as
Bologna, Paris, and Oxford, followed later.
|
Orthodox icon of the Archangel Gabriel
ภาพวาดอัครทูตสวรรค์กาเบรียลของนิกายออร์ธอดอกซ์
Merton College, one of Oxford's earliest colleges
College built around a central quadrangle
วิทยาลัยเมอร์ตันวิทยายุคแรกสุดแห่งหนึ่งของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด
วิทยาสร้างขึ้นรอบ ๆ พื้นที่สีเหลี่ยมมีตึกศูนย์กลางล้อมรอบ
|
ยุโรปคริสเตียน
ในศตวรรษที่ 4
ศาสนาคริสต์ก็กลายเป็นศาสนาที่เป็นทางการของจักรวรรดิโรมัน
และความเชื่อก็เผยแพร่ไปทั่วยุโรปเป็นเวลามากกว่า 700 ปีต่อมา เมื่อจักรวรรดิโรมันล่มสลาย
ประมาณ ค.ศ. 476 (พ.ศ. 1019) และหลังจากนั้นก็ขาดอำนาจทางการเมืองที่เข้มแข็ง ศาสนาคริสต์จึงมีอิทธิพลเป็นเอกภาพหนึ่งเดียวไปทั่วทวีปและศาสนจักรก็มีอำนาจยิ่งใหญ่
ยุโรปตะวันออกและตะวันตก
นิกายออร์ทอดอกซ์แห่งยุโรปตะวันออกที่มีศูนย์กลางอยู่ในบริเวณกรุงคอนสแตนติโนเปิลโบราณก็ต่อต้านความพยายามในการสถาปนาอำนาจตัดสินคดีไปทั่วศาสนจักรคริสเตียนทั้งหมดของพระสันตะปาปา
ในปี ค.ศ. 1054 (พ.ศ. 1597) ก็เกิดเป็นความแตกแยกในที่สุด นำไปสู่การแบ่งแยกนิกายในศาสนาคริสต์ของยุโรปซึ่งยังมีอยู่จนถึงปัจจุบันนี้
ความเจริญรุ่งเรืองของการศึกษา
ศาสนจักรก็มีอิทธิพลต่อการจัดการศึกษา
อันดับแรกก็ผ่านทางวัดและต่อจากนั้นก็เป็นมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแห่งในยุโรป
จัดการศึกษาเฉพาะแพทยศาสตร์ ได้รับการสถาปนาขึ้นในเมืองซาเลอโนทางตอนใต้ของอิตาลีในศตวรรษที่
9 ต่อมาก็มีมหาวิทยาลัยอื่น ๆ เช่น โบโลญญา ปารีสและออกซ์ฟอร์ด
|
Greek Europe
The independent city states of ancient Greece got most of
their wealth from trade. Their merchants sailed around the
Mediterranean, and founded colonies from Spain to the
Black Sea. The most powerful Greek cities were Athens and Sparta.
|
ยุโรปกรีก
นครรัฐอิสระของกรีกโบราณมีความมั่งคั่งมากที่สุดจากการค้าขาย
เหล่าพ่อค้าแล่นเรือไปรอบ ๆ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
และก่อตั้งอาณานิคมตั้งแต่ประเทศสเปนจนถึงทะเลดำ นครรัฐกรีกที่มีอำนาจมากที่สุด
คือ เอเธนส์และสปาร์ตา
|
|||
Roman Europe
From its foundation
in c.753 BC, the city of Rome gradually expanded
its power until, by the first century AD, it controlled most
of Europe. The Romans gave Europe a network of roads, a common language (Latin),
and a legal system, all of which survived long after the
fall of the empire in the 5th century.
|
ยุโรปโรมัน
นับตั้งแต่การก่อตั้งยุโรปโรมันเมื่อ
753 ปีก่อนคริสตกาล กรุงโรมก็ค่อย ๆ ขยายอำนาจ จนกระทั่งประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 1
ก็ปกครองยุโรปส่วนใหญ่ โรมันได้สร้างถนนเชื่อมโยงไปทั่วและให้ภาษาที่เป็นสาธารณะ
(ภาษาละติน) และระบบกฎหมายแก่ทวีปยุโรป
ซึ่งสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดก็ยังปรากฏอยู่เป็นเวลายาวนานหลังจากจักรวรรดิล่มสลายในศตวรรษที่
5
|
Nation state
By the 16th century,
centralized national governments had emerged
right across Europe, from Spain in the west to Russia in the east. The Holy Roman Empire had begun to break up, and in
countries such as England power was concentrated in the hands of the monarch who ruled with the
support of a parliament, composed of members of the aristocracy and church.
|
รัฐชาติ
ประมาณศตวรรษที่
16 การปกครองชาติที่มีจุดศูนย์กลาง (รัฐบาลกลาง) ก็เกิดขึ้นไปทั่วยุโรปในทันทีทันใด
ตั้งแต่ประเทศสเปนในทางทิศตะวันตกจนถึงประเทศรัสเซียในทางทิศตะวันออก จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มล่มสลาย
และในหลายประเทศ เช่น อำนาจของอังกฤษก็ตกอยู่ในการปกครองของพระมหากษัตริย์ซึ่งทรงปกครองด้วยการสนับสนุนของรัฐสภา
ประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นขุนนางและศาสนจักร
|
|||
Religious wars
The creation of new, Protestant Churches in the 16th century divided western Europe. Roman Catholic and Protestant states fought for supremacy in a series of
bitter wars which lasted until the
middle of the next century.
|
สงครามศาสนา
การเกิดขึ้นของนิกายใหม่
คือ โปรเตสแตนต์ ในศตวรรษที่ 16 ได้แบ่งแยกยุโรปตะวันตก นิกายโรมันคาทอลิกและรัฐโปรเตสแตนต์ก็ต่อสู้กันเพื่อแย่งความเป็นใหญ่ในสงครามอันดุเดือนเป็นระยะ
ๆ ซึ่งดำรงอยู่จนกระทั่งถึงกลางศตวรรษต่อมา
|
|||
Overseas empires
In the 15th century,
European nations built up empires. Spain
and Portugal colonized Central and South America; Britain, France, and the Netherlands colonized
North America and the Far East.
|
จักรวรรดิโพ้นทะเล
ในศตวรรษที่ 15
ชาติยุโรปหลายชาติได้ก่อตั้งจักรวรรดิขึ้น สเปนและโปรตุเกสตั้งอาณานิคมขึ้นที่อเมริกากลางและอเมริกาใต้
อังกฤษ ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์ตั้งอาณานิคมขึ้นในอเมริกาเหนือและตะวันออกไกล
|
World imperialism
The Industrial
Revolution began in Britain in the mid-1700s,
and it transformed world politics and economics. Within a century, European nations were
strong and rich enough to set up colonies all
around the world. Only the United
States of America was able to resist European influence.
|
ลัทธิจักรวรรดินิยมของโลก
การปฏิวัติอุตสาหกรรมเริ่มขึ้นในอังกฤษกลางศตวรรษที่
1700 และได้เปลี่ยนแปลงการเมืองและเศรษฐกิจของโลก ภายในหนึ่งศตวรรษ
ชาติยุโรปหลายชาติก็เข้มแข็งและมีความมั่งคั่งพอที่จะจัดตั้งอาณานิคมไปทั่วโลก มีเพียงสหรัฐอเมริกาเท่านั้นที่สามารถต้านทานอิทธิพลของยุโรปได้
|
|||
Global economy
During the 19th
century, European steamships took raw
materials from their colonies to factories in Europe, and shipped out finished goods
to markets abroad. The huge industrial cities of Europe gained vast
wealth, but at the expense of poor producers
in African and Asian colonies.
|
เศรษฐกิจของโลก
ตลอดระยะเวลาศตวรรษที่ 19 เรือยนต์ใหญ่ขับเคลื่อนด้วยไอน้ำของยุโรปได้บรรทุกวัตถุดิบจากอาณานิคมของตนเองไปยังโรงงานอุตสาหกรรมในยุโรป
และบรรทุกสินค้าสำเร็จรูปไปยังตลาดต่างประเทศ เมืองอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หลายเมืองของยุโรปมีความมั่งคั่งมหาศาล
แต่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เหล่าประเทศผู้ให้กำเนิดอันยากจนในอาณานิคมในทวีปแอฟริกาและทวีปเอเชีย
|
Nationalism
During the 19th
century, many of the peoples of Europe struggled to
obtain their freedom from outside rulers. In one year, 1848, Italians, Germans, Hungarians, Poles, Irish, and others fought for independence or fairer forms of government.
|
ลัทธิชาตินิยม
ตลอดระยะเวลาศตวรรษที่ 19 ผู้คนจำนวนมากของทวีปยุโรปพยายามดิ้นรนเพื่อให้ได้อิสรภาพจากผู้ปกครองภายนอก ในปีหนึ่ง ค.ศ. 1848 (พ.ศ. 2391) ชาวอิตาลี เยอรมนี ฮังการี โปแลนด์ ไอร์แลนด์ และชาติอื่น ๆ ได้ต่อสู้เพื่ออิสรภาพหรือรูปแบบการปกครองที่มีความยุติธรรมมากกว่า |
World wars
Twice in the 20th
century, European conflicts led to war on every continent. In 1914, national rivalries resulted in a four-year
war that cost 22 million lives. Germany
was defeated and dissatisfied with the peace treaty. Again, war broke out in 1939. By the
end of that war, in 1945, Europe was exhausted. Two superpowers, the USA and the Soviet
Union, now dominated international affairs.
|
สงครามโลก
ความขัดแย้งของทวีปยุโรปสองครั้งในศตวรรษที่
20 ได้นำไปสู่สงครามทุก ๆ ทวีป ในปี ค.ศ. 1914 (พ.ศ. 2457) การแข่งขันระดับชาติก่อให้เกิดสงคราม
4 ปี ซึ่งสูญเสียผู้คน 22 ล้านชีวิต เยอรมนีพ่ายแพ้และไม่พอใจกับสนธิสัญญาสันติภาพ
สงครามจึงระเบิดขึ้นอีกครั้งในปี ค.ศ.
1939 (พ.ศ. 2482) เมื่อใกล้จะสิ้นสุดสงครามนั้น ในปี ค.ศ. 1945 (พ.ศ. 2488) ทวีปยุโรปก็เกิดความอ่อนล้า
ประเทศอภิมหาอำนาจ 2 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียต ก็ครอบครองกิจการนานาชาติในปัจจุบัน
|
|||
End of empires
World War I led to
the defeat of four great European
empires -
Germany, Austro-Hungary, Russia, and Turkey – and weakened both Britain and France. After World War II, Europe's overseas colonies fought
successfully for independence, with only France
retaining sizeable overseas possessions.
|
การสิ้นสุดของจักรวรรดิ
สงครามโลกครั้งที่
1 นำไปสู่ความพ่ายแพ้ของจักรวรรดยุโรปอันยิ่งใหญ่ 4 แห่ง คือ เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี
รัสเซีย และตุรกี และทำให้อังกฤษและฝรั่งเศสอ่อนแอลง หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2
อาณานิคมโพ้นทะเลของยุโรปได้ต่อสู้เพื่ออิสรภาพจนเป็นผลสำเร็จ มีฝรั่งเศสเท่านั้นที่ยังรักษาอาณานิคมโพ้นทะเลซึ่งมีขนาดใหญ่
|
|||
Rival ideologies
Communism was
established in Russia after 1917 and in Eastern Europe
after 1945, while Fascism and Nazism took hold
in Italy, Germany, and Spain in the years up to 1945. By 1990, parliamentary democracy, at first weak in Europe, was the
dominant form of government.
|
แนวคิดอันเป็นรากฐานของสังคม เศรษฐกิจและการเมืองที่เป็นคู่ปรับกัน
ลัทธิคอมมิวนิสต์ก่อตั้งขึ้นในประเทศรัสเซีย
ภายหลัง ค.ศ. 1917 (พ.ศ. 2460) และยุโรปตะวันออก ภายหลัง ค.ศ. 1945 (พ.ศ. 2488) ในขณะที่ลัทธิฟาสซิสต์และลัทธินาซีเกิดขึ้นในอิตาลี
เยอรมนี และสเปนหลายปีจนถึง ค.ศ. 1945 (พ.ศ. 2488) ประมาณปี พ.ศ. 1990 (พ.ศ. 2533)
ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ซึ่งครั้งแรกมีความอ่อนแอในยุโรป
ก็เป็นรูปแบบการปกครองที่โดดเด่นขึ้นมา
|
|||
Iron Curtain
After World War II,
Russian troops occupied much of Eastern Europe. A clear border, known as the Iron
Curtain, emerged between the Russian-dominated east and American-dominated west. The border split Germany into two
countries.
|
ม่านเหล็ก
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่
2 กองทัพรัสเซียได้ยึดครองยุโรปตะวันออกเป็นส่วนมาก มีพรมแดนชัดเจน เรียกว่า
ม่านเหล็ก เกิดขึ้นระหว่างตะวันออกซึ่งรัสเซียยึดครองและตะวันตกซึ่งอเมริกายึดครอง
พรมแดนนั้นได้แยกเยอรมนีออกเป็นสองประเทศ (รวมกันใหม่ใน
ค.ศ. 1990 = พ.ศ. 2532)
|
Modern Europe
After World War II,
French and German politicians worked together to
overcome their old hostilities. Economic collaboration
between the two countries developed into a formal
European Union that grew to include many other western
European countries. With the collapse of communism and
the rise of market economies in Eastern Europe, many
former communist countries lined up to join the EU (European Union).
|
ยุโรปสมัยใหม่
หลังจากสิ้นสงครามโลกครั้งที่
2 นักการเมืองฝรั่งเศสและเยอรมนีได้ทำงานร่วมกันเพื่อพิชิตความเป็นปรปักษ์ที่มีอยู่แต่ก่อนของตนเอง
การร่วมมือกันระหว่างสองประเทศได้พัฒนาเป็นรูปแบบสหภาพยุโรปซึ่งเจริญรุ่งเรืองขึ้นจนประเทศยุโรปตะวันตกหลายประเทศเข้าร่วมด้วย
เนื่องจากการล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์และการเกิดขึ้นของเศรษฐกิจการตลาดในยุโรปตะวันออก
ประเทศที่เป็นคอมมิวนิสต์แต่เก่าก่อนมากมายหลายประเทศก็เตรียมตัวเข้าร่วมสหภาพยุโรป
(EU)
|
|||
Collapse of Communism
During the late
1980s, Russia withdrew its military and economic support from
its communist allies in Eastern Europe. Popular protests
then overthrew communism in every East European nation
by 1990, but by the late 1990s, there was deep unrest in
many East European countries.
|
การล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์
ในช่วงปลายทศวรรษที่
1980 ประเทศรัสเซียได้ถอนกองทัพของตนเองและการให้การสนับสนุนทางเศรษฐกิจออกจากชาติพันธมิตรคอมมิวนิสต์ของตนในยุโรปตะวันออก
ยิ่งไปกว่านั้น การคัดค้านที่ได้รับความนิยมไปทั่วก็ล้มล้างอำนาจคอมมิวนิสต์ในชาติยุโรปตะวันออกทุก
ๆ ชาติ ประมาณปี ค.ศ. 1990 (2533) แต่ประมาณปลายทศวรรษที่ 1990 ก็มีความวุ่นวายมากมายในหลาย
ๆ ประเทศในยุโรปตะวันออก
|
Willy Brandt
Willy Brandt (1913-92) was born
in Lübeck, Germany, but lived in Norway during World War II, where he was active in the Resistance. As Chancellor of West Germany from 1969—74, Brandt worked to improve east-west relations and made treaties with Poland
and the USSR. He was awarded the
1971 Nobel Peace Prize.
|
วิลลี บรันท์
วิลลี บรันท์ (มีชีวิตระว่าง ค.ศ. 1913 – 1992 = พ.ศ.
2456 – 2535 อายุ 79 ปี) เกิดในเมืองลือเบค เยอรมนี
แต่ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศนอรเวย์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่ง ณ ที่นั่นเขาได้เคลื่อนไหวในองค์การใต้ดินที่ต้องการโค่นล้มรัฐบาล
(the
Resistance) ในขณะที่ บรันท์ นายกรัฐมนตรีของเยอรมนีตะวันตก ระหว่าง
ค.ศ. 1969 – 74 (พ.ศ. 2512 – 17) ได้ทำงานเพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างตะวันออกและตะวันตกและได้สร้างสนธิสัญญากับโปแลนด์และสหภาพโซเวียตรัสเซีย
(USSR = The
Union of Soviet Socialist Republics) เขาได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ปี
ค.ศ. 1971 (พ.ศ. 2514)
|
Timeline
|
เส้นเวลา
|
|
C.1250
BC Mycenaean culture flourishes in Greece.
|
1250 ปีก่อนคริสตกาล วัฒนธรรมไมซีเนียนเจริญรุ่งเรืองในประเทศกรีซ
|
|
C.900
BC Greek city-states gain power.
|
900 ปีก่อนคริสตกาล นครรัฐกรีกเรืองอำนาจ
|
|
C.753
BC Rome is founded.
|
753 ปีก่อนคริสตกาล ก่อตั้งกรุงโรม
|
|
C.200
BC Celts spread across Europe.
|
200
ปีก่อนคริสตกาล ชาวเคลท์กระจายจากฟากหนึ่งไปยังอีกฟากหนึ่งของยุโรป
|
|
AD
117 Roman Empire is at its height.
|
ค.ศ. 117 (พ.ศ. 660) จักรวรรดิโรมันเจริญรุ่งเรืองสูงสุด
|
|
1054 Christian Church splits into Orthodox east and Roman
Catholic west.
|
ค.ศ. 1054 (พ.ศ. 1597) ศาสนจักรคริสเตียนแยกออกเป็นนิกายออร์ทอดอกซ์ตะวันออกและคาทอลิกตะวันตก
|
|
1500s European
nations use their navigation skills to explore
and colonize large parts of the globe.
|
ศตวรรษที่
1500 ชาติยุโรปใช้ทักษะการเดินเรือเพื่อสำรวจและล่าเมืองขึ้นส่วนใหญ่ของโลก
|
|
Mid-1700s Industrial Revolution begins to
transform the European economy.
|
กลางศตวรรษที่ 1700
การปฏิวัติอุตสาหกรรมเริ่มปฏิรูปเศรษฐกิจยุโรป
|
|
1871 The map of
Europe is transformed as Germany and Italy
become unified nations.
|
ค.ศ. 1871 (พ.ศ. 2414) แผนที่ยุโรปได้รับการเปลี่ยนแปลง
โดยเยอรมนีและอิตาลีกลายเป็นชาติเอกภาพ
|
|
1914-18
World War I.
|
1914 – 18 (พ.ศ. 2457 – 2461) เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1
|
|
1939-45 World War II.
|
ค.ศ.
1939 – 45 (พ.ศ. 2482 – 2488) เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2
|
|
1940s-80s
Europe gives up most of its colonies.
|
ทศวรรษที่ 1940 – 80
ยุโรปให้อิสรภาพแก่อาณานิคมเป็นส่วนใหญ่
|
|
1957 EEC is set up.
|
ค.ศ. 1957 (พ.ศ. 2500) จัดตั้ง EEC
|
|
1989-91
Communism falls.
|
ค.ศ. 1989 – 91 (พ.ศ. 2532 – 34) ลัทธิคอมมิวนิสต์ล่มสลาย
|
|
1994 Outbreak of war
in Southeast Europe.
|
ค.ศ. 1994 (พ.ศ. 2537) เกิดสงครามในยุโรปตะวันออกเฉียงใต้
|