Indian Empires and Achievements/จักรวรรดิและความสำเร็จของอินเดีย

Indian Empires
Mauryan Empire Unifies India
In the 320s BC a military leader named Candragupta Maurya seized control of the entire northern part of India. By doing so, he founded the Mauryan Empire. Mauryan rule lasted for about 150 years.

The Mauryan Empire
Candragupta Maurya ruled his empire with the help of a complex government. It included a network of spies and a huge army of some 600,000 soldiers. The army also had thousands of war elephants and thousands of chariots. In return for the armys protection, farmers paid a heavy tax to the government. In 301 BC Candragupta decided to become a Jainist monk. To do so, he had to give up his throne. He passed the throne to his son, who continued to expand the empire. Before long, the Mauryas ruled all of northern India and much of central India as well.

จักรวรรดิแห่งอินเดีย
จักรวรรดิเมารยะรวบรวมอินเดียเป็นเอกภาพ
            เมื่อทศวรรษที่ 320 ปีก่อนคริสตกาล ผู้นำกองทัพนามว่า จันทรคุปต์ เมารยะ ได้ยึดครองอินเดียตอนเหนือทั้งหมด ด้วยเหตุนั้น จันทรคุปต์จึงได้ก่อตั้งจักรวรรดิเมารยะขึ้น เมารยะได้ปกครองเป็นเวลาประมาณ 150 ปี

จักรวรรดิเมารยะ
            จันทรคุปต์ เมารยะ ปกครองจักรวรรดิของพระองค์ด้วยการส่งเสริมการปกครองอันสลับซับซ้อน ประกอบด้วยจารบุรุษเป็นเครือข่ายและกองทัพทหารใหญ่มหึมา มีทหารถึง 600,000 นาย กองทัพยังมีช้างศึกหลายพันเชือกและรถม้าหลายพันคัน เกษตรกรจะจ่ายภาษีอย่างหนักให้กับรัฐบาลเพื่อแลกกับการป้องกันจากกองทัพ เมื่อ 301 ปีก่อนคริสตกาล จันทรคุปต์ตัดสินพระทัยออกผนวชในศาสนาเชน จึงสละราชสมบัติให้กับโอรสของพระองค์ดำเนินการขยายจักรวรรดิต่อไป  ในไม่ช้า ราชวงศ์เมารยะก็ได้ปกครองอินเดียตอนเหนือทั้งหมดและอินเดียตอนกลางเป็นส่วนมากด้วย
จักรวรรดิเมารยะ
Asoka
Around 270 BC Candraguptas grandson Asoka became king. Asoka was a strong ruler, the strongest of all the Mauryan emperors. He extended Mauryan rule over most of India. In conquering other kingdoms, Asoka made his own empire both stronger and richer.


For many years, Asoka watched his armies fight bloody battles against other peoples. A few years into his rule, however, Asoka converted to Buddhism. When he did, he swore that he would not launch any more wars of conquest.

           
After converting to Buddhism, Asoka had the time and resources to improve the lives of his people. He had wells dug and roads built throughout the empire. Along these roads, workers planted shade trees and built rest houses for weary travelers. He also encouraged the spread of Buddhism in India and the rest of Asia, sending missionaries to lands all over Asia.

Asoka died in 233 BC, and the empire began to fall apart soon afterward. His sons fought each other for power, and invaders threatened the empire. In 184 BC the last Mauryan king was killed by one of his own generals. India divided into smaller states once again.        

พระเจ้าอโศก
            ประมาณ 270 ปีก่อนคริสตกาล พระเจ้าอโศกพระนัดดาของจันทรคุปต์ก็ขึ้นเป็นกษัตริย์ พระเจ้าอโศกเป็นนักปกครองที่เข้มแข็ง เข้มแข็งที่สุดในบรรดาจักรพรรดิของราชวงศ์เมารยะทั้งหมด พระองค์ทรงขยายอาณาเขตเมารยะไปทั่วอินเดียส่วนใหญ่   ด้วยการพิชิตอาณาจักรอื่น ๆ พระเจ้าอโศกก็ได้สร้างจักรวรรดิของพระองค์เองให้เข้มแข็งและเป็นปึกแผ่นขึ้น

         เป็นเวลาหลายปี พระเจ้าอโศกทรงเห็นกองทัพของพระองค์ต่อสู้อย่างนองเลือดกับประชาชนกลุ่มอื่น ๆ แต่อย่างไรก็ตาม สองสามปีที่พระองค์ขึ้นครองราชย์ พระเจ้าอโศกก็ทรงหันไปนับถือพระพุทธศาสนา ในขณะที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงปฏิญาณว่า จะไม่ทรงก่อสงครามเพื่อพิชิตอีกต่อไป

           หลังจากเปลี่ยนไปนับถือพระพุทธศาสนา พระเจ้าอโศกทรงใช้เวลาและทรัพย์สมบัติปรับปรุงการเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น พระองค์ทรงรับสั่งให้ขุดสระและสร้างถนนทั่วจักรวรรดิ ตามถนนหนทางเหล่านี้ มีคนงานปลูกต้นไม้ให้ร่มเงาและสร้างที่พักแรมให้กับคนเดินทางที่เหนื่อยล้า พระองค์ยังได้สนับสนุนให้เผยแพร่พระพุทธศาสนาในอินเดียและส่วนอื่น ๆ ของทวีปเอเชีย  โดยได้ส่งสมณทูตไปยังดินแดนต่าง ๆ ทั่วทวีปเอเชีย

          พระเจ้าอโศกทรงสวรรคตเมื่อ 233 ปีก่อนคริสตกาล และจักรวรรดิก็เริ่มล่มสลายไปในไม่ช้าหลังจากพระองค์สวรรคต โอรสของพระองค์ได้ต่อสูกันเพื่อแย่งชิงอำนาจ และเหล่าผู้รุกรานก็เข้ามาคุกคาม เมื่อ 184 ปีก่อนคริสตกาล กษัตริย์เมารยะถูกแม่ทัพคนหนึ่งปลงพระชนม์ อินเดียได้แบ่งเป็นรัฐเล็ก ๆ อีกครั้ง

จักรวรรดิเมารยะ


จักรวรรดิคุปตะ

Gupta Rulers Promote Hinduism
After the collapse of the Mauryan Empire, India remained divided for about 500 years. During that time, Buddhism continued to prosper and spread in India, and so the popularity of Hinduism declined.

A New Hindu Empire
Eventually, however, a new dynasty was established in India. It was the Gupta dynasty, which took over India around AD 320. Under the Guptas, India was once again united, and it once again became prosperous.

The first Gupta emperor was Candra Gupta I. Although their names are similar, he was not related to Candragupta Maurya. From his base in northern India, Candra Guptas armies invaded and conquered neighboring lands. Eventually he brought much of the northern part of India under his control.

Candra Gupta was followed as emperor by his son, Samudra Gupta, a brilliant military leader. He continued his fathers wars of conquest, fighting battles against many neighboring peoples. Through these wars, Samudra Gupta added more territory to his empire. By the time he died, for example, he had taken control of nearly all of the Ganges River valley.

Indian civilization flourished under the Gupta rulers. These rulers were Hindu, so Hinduism became Indias major religion. The Gupta kings built many Hindu temples, some of which became models for later Indian architecture. They also promoted a revival of Hindu writings and worship practices.

           
Although they were Hindus, the Gupta rulers also supported the religious beliefs of Buddhism and Jainism. They promoted Buddhist art and built Buddhist temples. They also established a university at Nalanda that became one of Asias greatest centers for Buddhist studies.

นักปกครองคุปตะอุปถัมภ์ศาสนาฮินดู
            หลังจากจักรวรรดิเมารยะล่มสลาย อินเดียก็ยังคงแบ่งเป็นอาณาจักรเล็ก ๆ เป็นเวลาประมาณ 500 ปี ในช่วงเวลานั้น พุทธศาสนายังคงรุ่งเรืองและเผยแพร่อยู่ในอินเดีย และด้วยเหตุนั้นศาสนาฮินดูจึงเสื่อมความนิยม

จักรวรรดิฮินดูใหม่
            อย่างไรก็ตาม ในที่สุด ราชวงศ์ใหม่ก็สถาปนาขึ้นในอินเดีย คือ ราชวงศ์คุปตะ ปกครองอินเดียประมาณ ค.ศ. 320 (ประมาณ พ.ศ. 560) ภายใต้การปกครองของราชวงศ์คุปตะ อินเดียก็เป็นปึกแผ่นอีกครั้ง และรุ่งเรืองขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

         จักรพรรดิคุปตะองค์แรก คือ จันทรคุปต์ที่ 1 แม้พระนามของพระองค์จะคล้ายกับจันทรคุปต์แห่งเมารยะ ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน จากฐานที่ตั้งในตอนเหนือของอินเดีย กองทัพจันทรคุปต์ก็บุกรุกและพิชิตดินแดนใกล้เคียง ในที่สุดพระองค์ก็ตีอินเดียตอนเหนือส่วนมากมาอยู่ใต้ปกครองของพระองค์


        สมทุรคุปตะโอรสของจันทรคุปต์ก็เป็นจักรพรรดิดำเนินตามรอยของพระองค์ เป็นผู้นำทางทหารที่หลักแหลม พระองค์ทรงทำสงครามเพื่อพิชิตของพระบิดาสืบต่อไป ด้วยการทำสงครามกับผู้คนใกล้เคียงมากมาย จากการทำสงครามเหล่านี้ สมุทรคุปตะก็ผนวกดินแดนมากมายเข้ากับจักรวรรดิของพระองค์ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อใกล้เวลาที่พระองค์จะสวรรคต พระองค์ได้ยึดครองลุ่มแม่น้ำคงคาเกือบทั้งหมด


          อารยธรรมอินเดียรุ่งเรืองภายใต้การปกครองของราชวงศ์คุปตะ กษัตริย์ราชวงศ์นี้เป็นฮินดู ดังนั้น ศาสนาฮินดูจึงเป็นศาสนาหลักของอินเดีย กษัตริย์คุปตะได้สร้างเทวาลัยในศาสนาฮินดูจำนวนมาก เทวาลัยบางแห่งกลายเป็นต้นแบบของสถาปัตยกรรมของอินเดียยุคต่อมา ราชวงศ์คุปตะยังให้การอุปถัมภ์การฟื้นฟูการเขียนทางศาสนาฮินดูและการปฏิบัติพิธีบวงสรวง

          แม้ว่าราชวงศ์คุปตะจะเป็นฮินดู กษัตริย์คุปตะก็ยังให้การอุปถัมภ์ศาสนาพุทธและศาสนาเชนด้วย โดยอุปถัมภ์พุทธศิลป์และสร้างวัดทางพระพุทธศาสนา ตลอดจนสถาปนามหาวิทยาลัยนาลันทาให้เป็นศูนย์การศึกษาพระพุทธศาสนาที่ใหญ่ที่สุดของทวีปเอเชียด้วย
ศิลปะคุปตะ

Gupta Society
In 375 Emperor Candra Gupta II took the throne in India. Gupta society reached its high point during his rule. Under Candra Gupta II, the empire continued to grow, eventually stretching all the way across northern India. At the same time, the empires economy strengthened, and people prospered. They created fine works of art and literature. Outsiders admired the empires wealth and beauty.

Gupta kings believed the social order of the Hindu caste system would strengthen their rule. They also thought it would keep the empire stable. As a result, the Gupta considered the caste system an important part of Indian society.

Gupta rule remained strong in India until the late 400s. At that time the Huns, a group from Central Asia, invaded India from the northwest. Their fierce attacks drained the Gupta Empire of its power and wealth. As the Hun armies marched farther into India, the Guptas lost hope. By the middle of the 500s, Gupta rule had ended, and India had divided into small kingdoms yet again.


สังคมคุปตะ
            ในปี ค.ศ. 375 (พ.ศ. 918) จันทรคุปต์ที่ 2 ขึ้นครองราชย์ สัมคมคุปตะเดินทางมาถึงจุดสูงสุดในสมัยของพระองค์ ในสมัยพระองค์ จักรวรรดิเจริญรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่อง ไปทั่วอินเดียตอนเหนือทั้งหมด ในเวลาเดียวกันนั้น เศรษฐกิจของจักรวรรดิก็เข้มแข็ง และผู้คนก็เจริญรุ่งเรือง มีการสร้างสรรค์ผลงานอันประณีตทางด้านศิลปะและวรรณคดี บุคคลภายนอกก็นิยมชมชอบความมั่งคั่งและความสวยงามของจักรวรรดิ


          กษัตริย์คุปตะเชื่อว่า การจัดระเบียบสังคมตามระบบวรรณะของศาสนาฮินดูจะทำให้การปกครองเข้มแข็ง และยังอาจจะรักษาจักรวรรดิให้มั่นคงอีกด้วย ด้วยเหตุนั้น ราชวงศ์คุปตะจึงพิจารณาให้ระบบวรรณะให้มีบทบาทสำคัญในสังคมอินเดีย


           ราชวงศ์คุปตะยังคงมีความเข้มแข็งในอินเดียจนกระทั่งถึงปลายศตวรรษที่ 400 ในเวลานั้น ชาวฮั่นซึ่งเป็นกลุ่มชนจากเอเชียกลางได้บุรุกมาจากด้านตะวันตกเฉียงเข้าสู่อินเดีย การโจมตีอย่างโหดร้ายของพวกฮั่นทำให้จักรวรรดิคุปตะล่มสลายทั้งด้านอำนาจและทรัพย์สมบัติ ในขณะที่กองทัพฮั่นรุกล้ำเข้าสู่อินเดีย ราชวงศ์คุปตะก็สิ้นหวัง ประมาณกลางศตวรรษที่ 500 ราชวงศ์คุปตะก็สิ้นสุดลง และอินเดียก็แบ่งเป็นอาณาจักรเล็ก ๆ อีกครั้งหนึ่ง







พระเจ้าอโศกมหาราช





 This Buddhist shrine, located in Sanchi, India, was built by Asoka.
วิหารพุทธศาสนาตั้งอยู่ในสาญจี ประเทศอินเดีย สร้างโดยพระเจ้าอโศก

Asoka the Great
Asoka (Ashoka) lived before 230 BC. His empire included much of northern andcentral India. After fighting many bloody wars to expand his empire,
Asoka gave up violence and converted to Buddhism. He is one of
the most respected rulers in Indian history and one of the most important figures in the history of Buddhism. As a devout Buddhist, Asoka worked to spread the Buddhas teachings. In addition to sending missionaries around Asia, he built huge columns carved with Buddhist teachings all over India. Largely through his efforts, Buddhism became one of Asias main religions.
พระเจ้าอโศกมหาราช
            มีชีวิตเมื่อ 230 ปีก่อนคริสตกาล  จักรวรรดิของพระเจ้าอโศกประกอบด้วยอินเดียตอนเหนือและตอนกลาง หลังจากการต่อสู้ในสงครามเลือดมากมายหลายครั้งเพื่อขยายจักรวรรดิ พระเจ้าอโศกได้สละความโหดร้ายและเปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนา พระองค์เป็นนักปกครองผู้น่าเคารพมากที่สุดองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์ของอินเดียและเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์พุทธศาสนา ในขณะที่พระองค์อุทิศตนให้พระพุทธศาสนา พระองค์ได้ทำงานเผยแพร่พระพุทธศาสนา พร้อมกับการส่งคณะพระธรรมทูตไปทั่วเอเชีย พระองค์ก็ได้สร้างเสาหินมหึมาสลักคำสอนพระพุทธศาสนาทั่วอินเดีย ด้วยความพยายามอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระพุทธศาสนาจึงกลายเป็นศาสนาหลักของเอเชีย

Indian Achievements
Religious Art
The Indians of the Mauryan and Gupta periods created great works of art, many of them religious. Many of their paintings and sculptures illustrated either Hindu and Buddhist teachings. Magnificent templesboth Hindu and Buddhistwere built all around India. They remain some of the most beautiful buildings in the world today.

Temples
Early Hindu temples were small stone structures. They had flat roofs and contained only one or two rooms. In the Gupta period, though, temple architecture became more complex. Gupta temples were topped by huge towers and were covered with carvings of the god worshipped inside.

Buddhist temples of the Gupta period are also impressive. Some Buddhists carved entire temples out of mountainsides. The most famous such temple is at Ajanta. Its builders filled the caves with beautiful wall paintings and sculpture.

Another type of Buddhist temple was the stupa. Stupas had domed roofs and were built to house sacred items from the life of the Buddha. Many of them were covered with detailed carvings.


ความสำเร็จของอินเดีย
ศิลปะทางด้านศาสนา
            ชาวอินเดียยุคเมารยะและคุปตะได้สร้างผลงานทางด้านศิลปะอย่างยิ่งใหญ่ มีศิลปะทางด้านศาสนามากมาย ภาพวาดและภาพแกะสลักจำนวนมากอธิบายคำสอนทั้งของศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ มีการสร้างเทวาลัยทางศาสนาฮินดูและวัดทางพระพุทธศาสนาอันงดงามโอ่อ่าทั่วอินเดีย บางแห่งก็ยังคงเป็นสิ่งก่อสร้างที่สวยงามที่สุดในโลกปัจจุบัน (เช่น นครวัดในประเทศกัมพูชา ฯลฯ)

วัดและเทวาลัย
            เทวาลัยของศาสนาฮินดูในยุคแรกเป็นโครงสร้างทำด้วยหินเล็ก ๆ มีหลังคาแบนราบและมีเพียงหนึ่งห้องหรือสองห้องเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในยุคคุปตะ สถาปัตยกรรมเทวาลัยก็มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น เทวาลัยสมัยคุปตะยังมียอดหอคอยขนาดมหึมาและมีการแกะสลักเทพเจ้าสำหรับบูชาไว้ด้านใน


          วัดในพุทธศาสนาในยุคคุปตะยังมีความน่าทึ่งอีกด้วย ชาวพุทธบางพวกได้แกะสลักวัดทั้งหมดออกมาจากไหล่เขา วัดที่มีชื่อเสียงที่สุด คือ อชันตา ช่างก่อสร้างได้วาดศิลปะฝาผนังและแกะสลักภาพสวยงามเต็มถ้ำ


          สถาปัตยกรรมทางพุทธศาสนาอีกชนิดหนึ่ง คือ สถูป สถูปมีหลังคาโค้งและสร้างอุทิศเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์จากพุทธประวัติ สถูปเหล่านั้นมีการแกะสลักรายละเอียดทั่วตัวสถูป


สถาปัตยกรรมวัดและเทวาลัย



สถาปัตยกรรมวัดและเทวาลัย
Temple at Ajanta (Buddhist Temple)
วัดถ้ำอชันตา (พุทธศาสนา)


Paintings and Sculpture
The Gupta period also saw the creation of great works of art, both paintings and statues. Painting was a greatly respected profession, and India was home to many skilled artists. However, we dont know the names of many artists from this period. Instead, we know the names of many rich and powerful members of Gupta society who paid artists to create works of beauty and significance.

Most Indian paintings from the Gupta period are clear and colorful. Some of them show graceful Indians wearing fine jewelry and stylish clothes. Such paintings offer us a glimpse of the Indiansdaily and ceremonial lives.

Artists from both of Indias major religions, Hinduism and Buddhism, drew on their beliefs to create their works. As a result, many of the finest paintings of ancient India are found in temples. Hindu painters drew hundreds of gods on temple walls and entrances. Buddhists covered the walls and ceilings of temples with scenes from the life of the Buddha.

Indian sculptors also created great works. Many of their statues were made for Buddhist cave temples. In addition to the templesintricately carved columns, sculptors carved statues of kings and the Buddha. Some of these statues tower over the cave entrances. Hindu temples also featured impressive statues of their gods. In fact, the walls of some temples, such as the one pictured above, were completely covered with carvings and images.


ภาพวาดและภาพแกะสลัก
            ยุคคุปตะยังพบการสร้างสรรค์ผลงานด้านศิลปะอันยิ่งใหญ่ ทั้งภาพวาดและภาพแกะสลัก ภาพวาดมีความเคารพนับถือวิชาชีพเป็นอย่างมาก และอินเดียเป็นถิ่นกำเนิดของช่างฝีมือที่มีทักษะความชำนาญมากมายหลายสาขา แต่พวกเราไม่ทราบชื่อของศิลปินจำนวนมากในยุคนั้น แต่พวกเรารู้จักชื่อของสมาชิกสังคมคุปตะผู้ร่ำรวยและมีอิทธิพลที่จ่ายเงินให้กับศิลปินเพื่อสร้างสรรค์ผลงานอันสวยงามและมีความสำคัญแทน


          ภาพวาดของอินเดียที่มาจากยุคคุปตะส่วนใหญ่จะสะอาดและมีสีสันสวยงาม บางภาพเป็นภาพชาวอินเดียมีรูปร่างอรชรสวยงามสวมเครื่องประดับเพชรพลอยและเสื้อผ้าสวยงาม ภาพวาดนั้นให้ความสะดุดใจแก่พวกเราเรื่องการดำเนินชีวิตประจำวันและด้านพิธีกรรม

          ศิลปินจากศาสนาสำคัญของอินเดียทั้งฮินดูและพุทธศาสนาได้วาดภาพความเชื่อของตนเองเพื่อสร้างสรรค์ผลงานของตนเอง ด้วยเหตุนั้นจึงมีการค้นพบภาพวาดที่สวยงามประณีตที่สุดของอินเดียโบราณมากมายภายในวัดและเทวาลัย ศิลปินชาวฮินดูจะวาดภาพเทพเจ้าหลายร้อยภาพบนผนังเทวาลัยและประตูทางเข้า ส่วนศิลปินชาวพุทธจะวาดภาพฝาผนังและเพดานวัดเป็นเหตุการณ์จากพุทธประวัติ

          ประติมากรชาวอินเดียยังได้สร้างสรรค์ผลงานอันยิ่งใหญ่ รูปปั้นของประติมากรเหล่านั้นมากมายนำมาจากวัดถ้ำของศาสนาพุทธ นอกจากเสาที่แกะสลักอย่างสวยงามของวัดแล้ว ประติมากรก็ได้แกะสลักรูปกษัตริย์และพระพุทธเจ้า รูปปั้นเหล่านี้ตั้งตระหง่านอยู่ทางประเข้าถ้ำ เทวาลัยของฮินดูมีรูปปั้นเทพเจ้าของตนเองอันสวยงามเป็นสัญลักษณ์ด้วย ความจริง ผนังเทวาลัยบางแห่ง เช่น ภาพด้านบนนี้ เต็มไปด้วยภาพแกะสลักและรูปปั้นทั่วทั้งเทวาลัย

Sanskrit Literature
Sanskrit was the main language of the ancient Aryans. During the Mauryan and Gupta periods, many works of Sanskrit literature were created. These works were later translated into many other languages.

Religious Epics
The greatest of these Sanskrit writings are two religious epics, the Mahabharata and the Ramayana. Still popular in India, the Mahabharata is one of the worlds longest literary works. It is a story about the struggle between two families for control of a kingdom. Included within the story are many long passages about Hindu beliefs. The most famous is called the Bhagavad Gita.

The Ramayana, according to Hindu tradition written prior to the Mahabharata, tells about a prince named Rama. In truth, the prince was the god Vishnu in human form. He had become human so he could rid the world of demons. He also had to rescue his wife, a princess named Sita. For centuries, the characters of the Ramayana have been seen as models for how Indians should behave. For example, Rama is seen as the ideal ruler, and his relationship with Sita as the ideal marriage.

Other Works
Writers in the Gupta period also created plays, poetry, and other types of literature. One famous writer of this time was Kalidasa. His work was so brilliant that Candra Gupta II hired him to write plays for the royal court.

Sometime before 500, Indian writers also produced a book of stories called the Panchatantra. The stories in this collection were intended to teach lessons. They praise people for cleverness and quick thinking. Each story ends with a message about winning friends, losing property, waging war, or some other idea. For example, the message below warns listeners to think about what they are doing before they act.
The good and bad of given schemes
Wise thought must first reveal:
The stupid heron saw his chicks
Provide a mongoose meal.
from the Panchatantra, translated
by Arthur William Ryder


Eventually, translations of this collection spread throughout the world. It became popular even as far away as Europe.

วรรณคดีสันสกฤต
            สันสกฤตเป็นภาษาหลักของชาวอารยันสมัยโบราณ ในยุคอารยันและคุปตะ มีผลงานการสร้างสรรค์ด้านวรรณคดีสันสกฤตมากมาย ผลงานเหล่านี้ในยุคต่อมาได้รับการแปลเป็นภาษาอื่น ๆ มากมาย

มหากาพย์ทางศาสนา
            ผลงานการเขียนทางภาษาสันสกฤตเหล่านี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือมหากาพย์ทางศาสนา 2 เรื่อง คือ มหาภารตะและรามายณะ มหาภารตะที่ยังได้รับความนิยมในอินเดียเป็นผลงานด้านวรรณคดีที่ยาวที่สุดในโลกชิ้นหนึ่ง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความพยายามระหว่างตระกูลสองตระกูลที่จะปกครองราชอาณาจักร เรื่องราวขนาดยาวหลายเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อในศาสนาฮินดูก็รวมอยู่ในเรื่องนั้น มหากาพย์ที่มีชื่อเสียงที่สุด เรียกว่า ภควัตคีตา



         รามายณะเป็นเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมาของศาสนาฮินดูเขียนขึ้นก่อนมหาภารตะเล่าเรื่องพระราม ความจริง พระรามคือพระวิษณุที่อวตารลงมาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์อวตารมาเป็นมนุษย์เพื่อปราบโลกแห่งมาร พร้อมทั้งช่วยเหลือชายาของพระองค์คือเจ้าหญิงนามว่าสีดาด้วย เป็นเวลาหลายศตวรรษ บทละครรามายณะได้แสดงถึงแบบอย่างของพฤติกรรมที่ชาวอินเดียควรปฏิบัติตาม ยกตัวอย่างเช่น พระรามเป็นกษัตริย์ในอุดมคติและสัมพันธภาพของพระองค์กับนางสีดาก็เป็นการสมรสในอุดมคติ



ผลงานชิ้นอื่น
            นักเขียนในยุคคุปตะยังได้สร้างสรรค์บทละคร บทกวี และวรรณคดีอื่น ๆ ด้วย นักเขียนผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งคือ กาลิทาส (Kalidasa) เขามีผลงานที่สละสลวยมากจนกระทั่งจันทรคุปต์ที่ 2 จ้างให้เขียนบทละครในราชสำนัก



   ครั้งหนึ่งก่อนศตวรรษที่ 500 นักเขียนชาวอินเดียยังได้ผลิตหนังสือนิทาน ชื่อ ปัญจตันตระ นิทานชุดนี้มีความมุ่งหมายในการสอนบทเรียน โดยยกย่องสรรเสริญให้บุคคลมีความเฉลียวฉลาดหลักแหลมและมีความคิดที่ว่องไว นิทานแต่ละเรื่องจะจบด้วยข้อความเกี่ยวกับเพื่อน ๆ ที่ได้รับชัยชนะ การสูญเสียทรัพย์สมบัติ เบี้ยเลี้ยงในสงคราม หรือข้อคิดอื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่น ข้อความด้านล่างนี้จะตักเตือนผู้ฟังให้มีความคิดก่อนที่จะทำการใด ๆ
                        “นักปราชญ์คิดว่าความดีและความชั่ว
                        ของแผนการที่ได้รับ จะต้องเปิดเผยเป็นอันดับ
                            แรก เหมือนนกกระสาโง่มองดู
                            ลูกของตนเองให้อาหารแก่พังพอน”
                                                -จาก  ปัญจตันตระ 





           ในที่สุด การแปลนิทานชุดนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วโลก มีชื่อเสียงโด่งดังไปไกลถึงยุโรป

Indian Science
ศาสตร์ของอินเดีย


Metalworking
          The Indians were expert metalworkers. This gold coin shows the emperor Candra Gupta II.

งานด้านโลหะ
            ชาวอินเดียเป็นช่างโลหะที่ชำนาญ เหรียญทองคำนี้มีภาพจักรพรรดิจันทรคุปต์ปรากฏอยู่


    
Medicine
In this modern painting, the Indian surgeon Susruta performs surgery on a patient. The ancient Indians had an advanced knowledge of medicine.

แพทยศาสตร์

            ในภาพวาดร่วมสมัยนี้ สุสรุตะ ศัลยแพทย์ชาวอินเดียทำการผ่าตัดผู้ป่วย ชาวอินเดียโบราณมีความก้าวหน้าในด้านความรู้แพทยศาสตร์

Mathematics
This book is a copy of an ancient one from about AD 500 that summarized Indian knowledge of mathematics. It discussed basic arithmetic, fractions, and a counting system.

คณิตศาสตร์

            หนังสือเล่มนี้เป็นฉบับคัดลอกหนังสือฉบับโบราณตั้งแต่ประมาณ ค.ศ. 500 (พ.ศ. 1043) ซึ่งรวบรวมความรู้คณิตศาสตร์ของอินเดีย หนังสือเล่มนี้สาธยายเลขคณิตพื้นฐาน เศษส่วน และระบบการนับ


Astronomy
The Gupta made great advances in astronomy, despite their lack of modern devices such as telescopes. They used devices like this one from the 1700s to observe and map the stars.

ดาราศาสตร์

            ยุคคุปตะได้สร้างความก้าวหน้าอย่างยิ่งใหญ่ในด้านดาราศาสตร์ แม้จะขาดอุปกรณ์ที่ทันสมัย เช่น กล้องโทรทรรศน์ ชาวอินเดียได้ใช้อุปกรณ์เหมือนกับในภาพนี้มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 1700 เพื่อสังเกตและเขียนแผนที่ดวงดาว
Scientific Advances
Indian achievements were not limited to art, architecture, and literature. Indian scholars also made important advances in metalworking, math, and the sciences.


Metalworking
The ancient Indians were pioneers of metallurgy, the science of working with metals. Their knowledge allowed them to create high-quality tools and weapons. The Indians also knew processes for mixing metals to create alloys, mixtures of two or more metals. Alloys are sometimes stronger or easier to work with than pure metals.

Metalworkers made their strongest products out of iron. Indian iron was very hard and pure. These features made the iron a valuable trade item.

During the Gupta dynasty, metalworkers built the famous Iron Pillar near Delhi. Unlike most iron, which rusts easily, this pillar is very resistant to rust. The tall column still attracts crowds of visitors. Scholars study this column even today to learn the Indianssecrets.

Mathematics and Other Sciences
Gupta scholars also made advances in math and science. In fact, they were among the most advanced mathematicians of their day. They developed many elements of our modern math system. The very numbers we use today are called Hindu-Arabic numerals because they were created by Indian scholars and brought to Europe by Arabs. The Indians were also the first people to create the zero. Although it may seem like a small thing, modern math wouldnt be possible without the zero.

The ancient Indians were also very skilled in the medical sciences. As early as the AD 100s, doctors were writing their knowledge down in textbooks. Among the skills these books describe is making medicines from plants and minerals.

Besides curing people with medicines, Indian doctors knew how to protect people against disease. The Indians practiced inoculation, or injecting a person with a small dose of a virus to help him or her build up defenses to a disease. By fighting off this small dose, the body learns to protect itself.

For people who were injured, Indian doctors could perform surgery. Surgeons repaired broken bones, treated wounds, removed infected tonsils, reconstructed broken noses, and even reattached torn earlobes! If they could find no other cure for an illness, doctors would cast magic spells to help people recover.

Indian interest in astronomy, the study of stars and planets, dates back to early times as well. Indian astronomers knew of seven of the planets in our solar system. They knew that the sun was a star and that the planets revolved around it. They also knew that the earth was a sphere and that it rotated on its axis. In addition, they could predict eclipses of the sun and the moon.   

ความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์
            ความสำเร็จของชาวอินเดียไม่ได้จำกัดเฉพาะด้านศิลปะ สถาปัตยกรรม และวรรณกรรม นักวิชาการอินเดียยังได้สร้างสรรค์ความก้าวหน้าที่สำคัญในด้านงานโลหะ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์

งานด้านโลหะ
            ชาวอินเดียโบราณเป็นผู้ริเริ่มวิชาผสมโลหะ ซึ่งเป็นศาสตร์การทำงานกับโลหะ ความรู้นั้นเป็นประโยชน์ต่อการสร้างเครื่องมือและอาวุธที่มีคุณภาพสูง ชาวอินเดียยังมีความรู้เกี่ยวกับกระบวนการผสมโลหะเพื่อสร้างโลหะผสม เป็นการผสมโลหะสองชนิดหรือมากกว่านั้นเข้าด้วยกัน บางครั้งโลหะผสมก็ทำงานร่วมกันได้เข้มแข็งและง่ายกว่าโลหะบริสุทธิ์

        ช่างโลหะได้สร้างผลิตภัณฑ์จากเหล็กได้แข็งแกร่งที่สุด เหล็กอินเดียแข็งและบริสุทธิ์มาก คุณลักษณะเหล่านี้ทำให้เหล็กเป็นสินค้าที่มีคุณค่าสำหรับค้าขาย

          ในยุคราชวงศ์คุปตะ ช่างโลหะได้สร้างเสาเหล็กที่มีชื่อเสียงใกล้กรุงเดลี เสาเหล็กนี้ไม่เหมือนเสาเหล็กส่วนใหญ่ที่เข้าสนิมง่าย ทนทานต่อการเข้าสนิมได้ดีมาก เสามีขนาดสูงยังดึงดูดใจให้กลุ่มชนผู้ไปเยี่ยมชม นักวิชาการศึกษาเสาต้นนี้อยู่จนถึงทุกวันนี้เพื่อเรียนรู้ความลึกลับของชาวอินเดีย

คณิตศาสตร์และศาสตร์อื่น ๆ
            นักวิชาการยุคคุปตะยังมีความก้าวหน้าในคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ด้วย ความจริง นักวิชาการเหล่านั้นจัดอยู่ในหมู่นักวิทยาศาสตร์ที่มีความก้าวหน้าที่สุดแห่งยุค โดยได้พัฒนาธาตุตามระบบคณิตศาสตร์สมัยใหม่มากมายหลายชนิด ตัวเลขทุกตัวที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เรียกว่า ตัวเลขฮินดูอารบิก เนื่องจากนักวิชาการชาวอินเดียเป็นผู้สร้างขึ้นและชาวอาหรับนำไปสู่ยุโรปอีกต่อหนึ่ง ชาวอินเดียยังเป็นพวกแรกที่สร้างเลขศูนย์ (0) ขึ้นมา แม้ว่าดูเหมือนจะเป็นสิ่งเล็กน้อย คณิตศาสตร์สมัยใหม่อาจจะไม่สามารถดำเนินการได้ถ้าปราศจากเลขศูนย์

          ชาวอินเดียโบราณยังมีทักษะความชำนาญในแพทยศาสตร์อย่างมากด้วย ประมาณต้นคริสตวรรษที่ 100 มาแล้วที่แพทย์ได้เขียนความรู้ของตนเองลงเป็นตำราคู่มือ การปรุงยาจากพืชและแร่ธาตุก็อยู่ในจำพวกทักษะความชำนาญที่หนังสือเหล่านี้พรรณนาไว้

          นอกจากการรักษาคนด้วยยาแล้ว แพทย์ชาวอินเดียก็รู้จักวิธีป้องกันโรคด้วย ชาวอินเดียได้ทำการปลูกฝีป้องกันไข้ หรือการฉีดเชื้อไวรัสปริมาณเล็กน้อยให้แก่คนเพื่อช่วยให้เขาหรือหล่อนสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้ ร่างกายก็เรียนรู้ในการป้องกันตัวเองด้วยการต่อสู้กับเชื้อไวรัสปริมาณน้อยนั้นจนมันพ่ายแพ้

          สำหรับบุคคลที่ได้รับบาดเจ็บ แพทย์ชาวอินเดียอาจจะทำการผ่าตัด ศัลยแพทย์จะซ่อมแซมกระดูกที่หักได้ รักษาบาดแผล ผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลที่ติดเชื้อออกได้ ทำจมูกที่หักขึ้นมาใหม่ได้ และเย็บใบหูส่วนล่างที่ฉีกขาดได้ ถ้าแพทย์เหล่านั้นไม่สามารถค้นหาวิธีรักษาอาการเจ็บป่วยอื่น ๆ ได้ ก็จะร่ายมนตร์คาถาเพื่อช่วยทุเลาอาการเจ็บป่วยให้คน

          ชาวอินเดียมีความสนใจในดาราศาสตร์ คือ การศึกษาดาวฤกษ์และดาวเคราะห์มาตั้งแต่ยุคแรก ๆ ด้วย นักดาราศาสตร์ชาวอินเดียก็รู้จักดาวเคราะห์ 7 ดวงในระบบสุริยะของพวกเรา พวกเขารู้ว่าดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์และรู้ว่าดาวเคราะห์โคจรรอบดวงอาทิตย์ และยังรู้ด้วยว่า โลกเป็นทรงกลม (โลกกลม) และรู้ว่า โลกหมุนรอบแกนตัวเอง นอกจากนั้น ชาวอินเดียโบราณสามารถทำนายสุริยุปราคาและจันทรุปราคาได้ด้วย