Geography
and the Rise of Rome
The
Geography of Italy
Rome eventually became the center
of one of the greatest civilizations of the ancient world. In fact, the
people of Rome conquered many of the territories, including Greece, Egypt,
and Asia Minor.
Italy,
where Rome was built, is a peninsula in southern Europe. If you look at the
map, you can see that Italy looks like a high-heeled boot sticking out into
the Mediterranean Sea.
Physical
Features
Look at
the map again to find Italy’s two major mountain ranges. In the north are the
Alps, Europe’s highest mountains. Another range, the Apennines, runs the
length of the Italian Peninsula. This rugged land made it hard for ancient
people to cross from one side of the peninsula to the other. In addition,
some of Italy’s mountains, such as Mount Vesuvius, are volcanic. Their
eruptions could devastate Roman towns.
|
ภูมิศาสตร์และการอุบัติแห่งกรุงโรม
ภูมิศาสตร์ของอิตาลี
ในบั้นปลาย กรุงโรมกลายเป็นศูนย์กลางของอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในสมัยโบราณ
ความจริง ชาวกรุงโรมได้พิชิตดินแดนมากมาย ประกอบด้วย กรีซ อียิปต์ และเอเชียน้อย
อิตาลีซึ่งเป็นสถานที่สร้างกรุงโรม
คือคาบสมุทรในยุโรปใต้ ถ้าดูแผนที่จะสามารถมองเห็นอิตาลีคล้ายกับรองเท้าบูทส้นสูงยื่นออกไปสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ลักษณะทางกายภาพ
ให้มองดูแผนที่อีกครั้งเพื่อค้นหาเทือกเขาสำคัญ
จำนวน 2 เทือก ในทิศเหนือคือเทือกเขาแอลป์
ซึ่งเป็นเทือกเขาที่สูงที่สุดของยุโรป
อีกเทือกเขาแห่งหนึ่งคือแอเพนไนน์ทอดไปตามความยาวของคาบสมุทรอิตาลี
แผ่นดินอันขรุขระนี้ทำให้ผู้คนในสมัยโบราณข้ามจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่งของคาบสมุทรได้อย่างยากลำบาก
อีกประการหนึ่ง ภูเขาในประเทศอิตาลีบางแห่ง เช่น ภูเขาวิสุเวียสก็เป็นภูเขาไฟ
การปะทุขึ้นของภูเขาเหล่านี้สามารถทำลายล้างเมืองหลายเมืองของโรมัน
|
|
Not much of Italy is flat. Most of the land that isn’t mountainous is covered with hills. Throughout history, people have built cities on these hills for defense. As a result, many of the ancient cities of Italy — including Rome—sat atop hills. Rome was built on seven hills.
Several rivers flow
out of Italy’s mountains. Because
these rivers were a source of fresh water, people also
built their cities near them. For
example, Rome lies on the Tiber River.
Climate
Most of Italy, including the area around Rome, has warm, dry summers and mild, rainy
winters. This climate is similar to that of
southern California. Italy’s mild
climate allows people to grow a wide variety of crops. Grains, citrus fruits, grapes,
and olives all grow well there. A
plentiful food supply was one key factor in Rome’s early growth.
Rome’s Legendary Origins
Rome’s early history is
wrapped in mystery. No written records exist, and we
have little evidence of the city’s
earliest days. All we have found
are ancient ruins that suggest people lived in the area
of Rome as early as the 800s BC. However, we know very little about how
they lived.
Would it surprise you
to think that the ancient Romans were as curious about their early history as we are today? Rome’s leaders wanted their city to have a glorious past
that would make the Roman people proud. Imagining
that glorious past, they told legends, or stories, about
great heroes and kings who built the city.
|
อิตาลีส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นพื้นที่ราบ
แผ่นดินที่ไม่ได้เป็นภูเขาก็ปกคลุมไปด้วยเนินเขา ตลอดประวัติศาสตร์
ผู้คนจะสร้างเมืองบนเนินเขาเหล่านี้ด้วยวัตถุประสงค์การป้องกัน เป็นเหตุให้เมืองในสมัยโบราณของอิตาลี
รวมทั้งกรุงโรม ตั้งอยู่บนยอดเนินเขา กรุงโรมสร้างอยู่บนเนินเขา 7 ลูก
แม่น้ำ 7
สายไหลลงจากภูเขาของอิตาลี เนื่องจากแม่น้ำเหล่านี้เป็นแหล่งน้ำที่ใสสะอาด
ผู้คนจึงสร้างเมืองใกล้แม่น้ำเหล่านี้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น กรุงโรมตั้งบนแม่น้ำไทเบอร์
ภูมิอากาศ
ส่วนมากในอิตาลี
รวมทั้งบริเวณรอบ ๆ กรุงโรม มีฤดูร้อนอันอบอุ่น แห้งแล้ง และฤดูฝนอันอบอุ่น ภูมิอากาศแบบนี้คล้ายกับแคลิฟอร์เนียตอนใต้
ภูมิอากาศอันอบอุ่นทำให้ประชาชนปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารหลากหลายกว้างขวาง ข้าว ผลไม้จำพวกส้มมะนาว
องุ่น และมะกอกทุกอย่างเจริญเติบได้ดีในอิตาลี เสบียงอาหารมากมายเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในความเจริญรุ่งเรืองยุคแรกของกรุงโรม
กำเนิดตำนานแห่งกรุงโรม
ประวัติศาสตร์กรุงโรมในยุคต้นถูกเก็บไว้เป็นความลับ
ไม่มีการเขียนบันทึกไว้ และพวกเราก็มีหลักฐานน้อยเกี่ยวกับยุคแรกสุดของเมือง เราทุกคนลงความเห็นว่าซากปรักหักพังโบราณบ่งบองเป็นนัยว่ามีผู้คนอาศัยอยู่ในบริเวณกรุงโรมอย่างช้าที่สุดก็ประมาณศตวรรษที่
800 ก่อนคริสตกาล อย่างไรก็ตามพวกเรารู้วิธีการดำเนินชีวิตของผู้คนเหล่านั้นน้อยมาก
มันน่าประหลาดใจหรือที่คุณจะคิดว่า ชาวโรมันโบราณอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของตนเอง พอ ๆ
กับพวกเราในปัจจุบัน? ผู้นำแห่งกรุงโรมต้องการให้เมืองของตนเองมีอดีตที่รุ่งเรือง
ซึ่งจะทำให้ผู้คนชาวโรมันภูมิใจในตนเอง การจินตนาการถึงอดีตอันรุ่งเรืองนั้น
พวกเขาจะเล่าตำนาน หรือนิทานเกี่ยวกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่และกษัตริย์ผู้สร้างเมือง
|
Map of Italy
แผนที่อิตาลี
|
|
According to the
story, when Aeneas reached Italy, he found
several groups of people living there. He
formed an alliance with one of these groups, a people called the Latins. Together they fought the other people of Italy. After defeating these opponents, Aeneas married the
daughter of the Latin king. Aeneas, his son, and their
descendants became prominent rulers in Italy.
|
เรื่องราวเล่าไว้ว่า
เมื่ออีเนียสเดินทางถึงอิตาลี เขาก็พบผู้คนอาศัยอยู่ที่นั่นมากมายหลายกลุ่ม เขาได้สร้างพันธมิตรกับผู้คนกลุ่มหนึ่งในบรรดากลุ่มเหล่านี้
ซึ่งเป็นกลุ่มที่เรียกว่า ละติน พวกเขาร่วมกันต่อสู้กับผู้คนอื่น ๆ แห่งอิตาลี หลังจากพิชิตคู่ปรปักษ์เหล่านี้แล้ว
อีเนียสก็ได้แต่งงานกับธิดาของกษัตริย์ละติน อีเนียส บุตรชายของเขา และทายาทของพวกเขาก็กลายเป็นผู้ปกครองที่มีชื่อเสียงในอิตาลี
|
Romulus and Remus
The Romans believed
that the twins Romulus and Remus were descendants of
Aeneas. In Roman legend, Romulus
and Remus were rescued and raised by a wolf. Romulus later killed Remus and built
the city of Rome.
|
โรมุลุสและแรมุส
ชาวโรมันเชื่อว่า
พี่น้องฝาแฝดโรมุลุสและแรมุสเป็นทายาทของอีเนียส ในตำนานกรุงโรมกล่าวไว้ว่า
โรมุลุสและแรมุสได้รับความช่วยเหลือและเลี้ยงดูจากหมาป่า ต่อมา
โรมุลุสได้ฆ่าแรมุสและได้สร้างกรุงโรม
|
Aeneas
The Romans believed
their history could be traced back to a great Trojan
hero named Aeneas. When the
Greeks destroyed Troy in the Trojan War, Aeneas fled with his followers. After a long
and dangerous journey, he reached Italy. The story of this trip is told in the Aeneid, an epic poem written by a poet named Virgil
around 20 BC.
Romulus and Remus
Among the descendants
of Aeneas were the founders of Rome. According
to Roman legends, these founders were twin brothers named Romulus and Remus. In the story, these boys led exciting
lives. When they were babies, they
were put in a basket and thrown into the Tiber River. They didn’t drown, though,
because a wolf rescued them. The wolf
cared for the boys for many years. Eventually, a
shepherd found the boys and adopted them.
After they grew up, Romulus and Remus decided to build a city to mark the spot where the wolf had rescued them. While they were planning the city, Remus mocked one of his brother’s ideas. In a fit of anger, Romulus killed Remus. He then built the city and named it Rome after himself.
Rome’s
Early Kings
According to ancient
historians, Romulus was the first king of Rome, taking
the throne in 753 BC.
Modern historians believe that Rome could have
been founded within 50 years before or after that date.
Roman records list
seven kings who ruled the city. Not
all of them were Roman. Rome’s last
three kings were Etruscans, members of a people who lived
north of Rome. The Etruscans, who had been
influenced by Greek colonies in Italy, lived in Italy
before Rome was founded.
The Etruscan kings made great
contributions to Roman society. They
built huge temples and Rome’s first
sewer. Many historians think that
the Romans learned their alphabet and numbers from the
Etruscans.
The last Roman king was said to
have been a cruel man who had many people killed,
including his own advisors. Finally, a
group of nobles rose up against him. According to
tradition, he was overthrown in 509
BC. The nobles, who no longer wanted
kings, created a new government.
|
อีเนียส
ชาวโรมันมีความเชื่อว่า
ประวัติศาสตร์ของพวกเขาอาจจะนับย้อนไปถึงวีรบุรุษแห่งสงครามโทรจันนามว่า อีเนียส
เมื่อชาวกรีกทำลายกรุงทรอยในสงครามโทรจัน อีเนียสหนีไปกับศิษย์ของตนเอง หลังจากเดินทางอันยาวนานและอันตราย
เขาก็เดินทางถึงอิตาลี เรื่องราวของการเดินทางนี้เล่าไว้ในมหากาพย์อีนีอิด
ซึ่งเป็นมหากาพย์ที่เขียนขึ้นโดยกวีนิพนธ์นามว่า เวอร์จิล ประมาณ 20
ปีก่อนคริสตกาล
โรมุลุสและแรมุส
เหล่าผู้ก่อตั้งกรุงโรมก็อยู่ในจำพวกทายาทของอีเนียส
ตามตำนานของโรมันเล่าไว้ว่า ผู้ก่อตั้งเหล่านี้ คือ พี่น้องชายฝาแฝด นามว่า โรมุลุสและแรมุส
ในเรื่องราวเล่าไว้ว่า เด็กชายเหล่านี้มีชีวิตที่น่าตื่นเต้น
ในขณะที่ทั้งสองยังเป็นทารก ถูกทิ้งใส่ตะกร้าและโยนลงไปในแม่น้ำไทเบอร์
อย่างไรก็ตาม ทารกทั้งสองนั้นไม่ได้จมน้ำตาย เนื่องจากหมาป่าช่วยชีวิตไว้ หมาป่าได้ดูแลเด็กชายทั้งสองนั้นเป็นเวลาหลายปี
ในที่สุด คนเลี้ยงแกะก็พบเด็กชายทั้งสองนั้นและรับมาเลี้ยงไว้เป็นลูก
หลังจากเจริญวัยแล้ว
โรมุลุสและแรมุสก็ตัดสินใจสร้างเมืองเป็นเครื่องหมายจุดที่หมาป่าช่วยชีวิตพวกเขา
ในขณะที่พวกเขากำลังวางผังเมือง แรมุสได้เยาะเย้ยความคิดอย่างหนึ่งของพี่น้องร่วมอุทร
เพื่อให้สาสมกับความโกรธ โรมุลุสจึงฆ่าแรมุสเสีย ต่อมาเขาจึงได้สร้างเมืองและตั้งชื่อว่า โรม
ตามชื่อตัวเอง
กษัตริย์ยุคแรกของโรม
นักประวัติศาสตร์โบราณเขียนไว้ว่า
โรมุลุสเป็นกษัตริย์องค์แรกของกรุงโรม ครองราชย์เมื่อ 753 ปีก่อนคริสตกาล นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่เชื่อว่า
กรุงโรมอาจจะสร้างขึ้นภายใน 50 ปีก่อนหรือหลังยุคนั้น
บันทึกโรมันลงรายนามกษัตริย์ที่ครองเมืองไว้
7 พระองค์ กษัตริย์ทั้ง 7 องค์นั้นไม่ได้เป็นชาวโรมทั้งหมด กษัตริย์ 3 องค์ท้าย เป็นชาวอีทรัสคัน
ซึ่งเป็นสมาชิกของผู้คนที่อาศัยอยู่ตอนเหนือของกรุงโรม ชาวอีทรัสคัน
ซึ่งตกอยู่ภายใต้อำนาจอาณานิคมกรีกในอิตาลี ได้อาศัยอยู่ในอิตาลีมาก่อนที่จะสร้างกรุงโรม
กษัตริย์อีทรัสคันได้สร้างคุณงามความดีอันยิ่งใหญ่ให้กับสังคมโรมัน
โดยได้สร้างวิหารขนาดมหึมาและท่อระบายน้ำแห่งแรกของกรุงโรม นักประวัติศาสตร์จำนวนมากคิดว่า
ชาวโรมันได้เรียนรู้ตัวอักษรและตัวเลขจากชาวอีทรัสคัน
กล่าวกันว่า
กษัตริย์โรมันองค์สุดท้ายเป็นคนดุร้าย รับสั่งให้ประหารผู้คนจำนวนมาก รวมทั้งผู้ให้คำปรึกษาของพระองค์เอง
ในที่สุด กลุ่มขุนนางก็ลุกขึ้นต่อต้านพระองค์ ในจารีตประเพณีกล่าวไว้ว่า
พระองค์ถูกโค่นล้มจากอำนาจเมื่อ 509 ปีก่อนคริสตกาล ขุนนางผู้ที่ไม่ต้องการกษัตริย์อีกต่อไป
จึงได้สร้างรัฐบาลขึ้นมาใหม่
|
The
Early Republic
The government the
Romans created in 509 BC was a republic. In
a republic, people elect leaders to govern them. Each year the Romans elected officials
to rule the city. These officials had many powers but
only stayed in power for one year. This
system was supposed to keep any one person from becoming too powerful in the government.
But Rome was not a
democracy. The city’s
elected officials nearly all came from a small group of
wealthy and powerful men. These wealthy and powerful
Romans held all the power, and other people had little to no say in how the republic was run.
Challenges from
Outside
Shortly after the
Romans created the republic, they found themselves at
war. For about 50 years the Romans
were at war with other peoples of the region. For the most part the Romans won these
wars. But they lost several battles,
and the wars destroyed many lives and much property.
During particularly
difficult wars, the Romans chose dictators —rulers with almost absolute power—to lead the city. To keep them from
abusing their power, dictators could only stay in power
for six months. When that time was
over, the dictator gave up his power.
One of Rome’s
famous dictators was Cincinnatus, who gained power in 458 BC. Although he was a farmer, the Romans chose him to defend the
city against a powerful enemy that had defeated a large
Roman army.
Cincinnatus quickly
defeated the city’s enemies. Immediately, he resigned as dictator and
returned to his farm, long before his six-month
term had run out.
The victory by Cincinnatus did not
end Rome’s troubles. Rome
continued to fight its neighbors on and off for many
years.
Challenges within
Rome
Enemy armies weren’t the only challenge facing Rome. Within the city, Roman society was
divided into two groups. Many of Rome’s plebeians, or common people,
were calling for changes in the government.
They wanted more of a say in how the city was run.
Rome was run by
powerful nobles called patricians. Only patricians could be elected to office, so they
held all political power.
The plebeians were peasants,
craftspeople, traders, and other workers. Some of these plebeians, especially traders, were as
rich as patricians. Even though the plebeians outnumbered the patricians, they couldn’t take part in the government.
In 494 BC the plebeians formed a council and elected their own officials, an act
that frightened many patricians. They feared
that Rome would fall apart if the two groups couldn’t cooperate. The patricians decided that it was time to change the
government.
|
สาธารณรัฐยุคแรก
รัฐบาลที่ชาวโรมันสร้างขึ้นเมื่อ
509 ปีก่อนคริสตกาลเป็นแบบสาธารณรัฐ รูปแบบสาธารณรัฐ
ประชาชนจะเลือกผู้นำมาปกครองตนเอง แต่ละปี
ชาวโรมันได้เลือกเจ้าหน้าที่มาปกครองเมือง เจ้าหน้าที่เหล่านี้มีอำนาจมากมาย
แต่อยู่ในอำนาจเพียงหนึ่งปีเท่านั้น ระบบนี้ได้รับการคาดการณ์ว่าจะไม่ให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งกลายมาเป็นผู้อิทธิพลมากเกินไปในการปกครอง
แต่กรุงโรมไม่ได้เป็นประชาธิปไตย
เจ้าหน้าที่ที่ได้รับการเลือกตั้งของเมืองเกือบทุกคนมาจากกลุ่มคนมั่งคั่งและมีอิทธิพลกลุ่มเล็ก
ๆ ชาวโรมันที่มั่งคั่งและมีอิทธิพลเหล่านี้ยึดอำนาจทั้งหมด และคนอื่น ๆ ไม่ค่อยมีโอกาสพูดในแนวทางการบริหารแบบสาธารณรัฐ
ความท้าทายจากด้านนอก
ช่วงเวลาสั้น
ๆ หลังจากโรมันจัดตั้งสาธารณรัฐ ก็พบว่าตัวเองอยู่ในภาวะสงคราม เป็นเวลาประมาณ
50 ปี โรมันทำสงครามกับกลุ่มคืนในศาสนาอื่น ส่วนใหญ่ชาวโรมันจะชนะสงครามเหล่านี้
แต่ก็พ่ายแพ้สงครามมากมาย และสงครามก็ทำลายชีวิตและทรัพย์สมบัติจำนวนมาก
ในช่วงภาวะสงครามที่มีความยุ่งยากเป็นพิเศษ
ชาวโรมันได้เลือกผู้เผด็จการ ซึ่งเป็นนักปกครองที่มีอำนาจเกือบสมบูรณ์แบบ เพื่อเป็นผู้นำเมือง
เพื่อป้องกันนักปกครองเหล่านั้นไม่ให้ใช้อำนาจในทางที่ผิด ผู้เผด็จการควรจะอยู่ในอำนาจเพียง
6 เดือนเท่านั้น เมื่อหมดเวลา ผู้เผด็จการจะสละอำนาจของตนเอง
ผู้เผด็จการที่มีชื่อเสียงของกรุงโรมคนหนึ่ง
คือ ซินซินาตัสขึ้นครองอำนาจเมื่อ 458 ปีก่อนคริสตกาล แม้ว่าเขาจะเป็นชาวนา
ชาวโรมันก็เลือกเขามาป้องกันเมืองจากศัตรูผู้มีอิทธิพลที่มาตีกองทัพโรมันขนาดใหญ่ให้พ่ายแพ้
ซินซินาตัสได้โจมตีศัตรูของเมืองจนพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว
เขาได้ลาออกจากผู้เผด็จการและกลับไปยังไร่นาของตนเองในทันทีทันใด อีกไม่นานก่อนที่ระยะเวลา
6 เดือนของเขาก็หมดลง
ชัยชนะของซินซินาตัสก็ไม่ได้ยุติความยุ่งยากของกรุงโรม
กรุงโรมยังดำเนินการต่อสู้กับเพื่อนบ้านทั้งแบบเปิดเผยและแบบปกปิดเป็นเวลาหลายปี
ความท้าทายภายในกรุงโรม
กองทัพศัตรูไม่ได้เป็นสิ่งท้าทายที่กรุงโรมเผชิญอย่างเดียว
ภายในกรุงโรม สังคมของชาวโรมยังแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ชนชั้นต่ำหรือสามัญชนของกรุงโรมจำนวนมากก็กำลังเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล
พวกเขาต้องการสิทธิในการพูดเรื่องการบริหารบ้านเมืองให้มากขึ้น
กรุงโรมบริหารงานโดยขุนนางผู้มีอิทธิพลที่เรียกว่า
ชนชั้นสูง ชนชั้นสูงเท่านั้นจึงจะได้รับเลือกให้ไปบริหารงาน ดังนั้น ชนชั้นสูงเหล่านั้นจึงยึดอำนาจด้านการเมืองทั้งหมด
ชนชั้นต่ำ
คือ ชาวไร่ชาวนา ช่างฝีมือ พ่อค้า และแรงงานอื่น ๆ ชนชั้นต่ำเหล่านี้บางคน
โดยเฉพาะพ่อค้า ร่ำรวยกว่าชนชั้นสูง แม้ว่าชนชั้นต่ำจะมีจำนวนมากกว่าชนชั้นสูง
พวกเขาก็ไม่สามารถมีส่วนร่วมในการบริหารบ้านเมือง
เมื่อ
494 ปีก่อนคริสตกาล ชนชั้นต่ำได้จัดตั้งสภาขึ้นและเลือกเจ้าหน้าที่ของตนเอง ซึ่งเป็นการกระทำที่ทำให้ชนชั้นสูงสะดุ้งตกใจ
ด้วยเกรงว่ากรุงโรมจะแตกเป็นสัดส่วนหากชนสองกลุ่มนั้นไม่ร่วมมือกัน ชนชั้นสูงจึงตัดสินใจว่าเป็นเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแปลงการปกครอง
|